จอห์นนี่ 2543

มีสมศรี1992 ผมก็มี จอห์นนี่ 2543 

จอห์นนี่ แขกอินเดียผิวขาว อายุราวๆ 35-40 ปี รูปร่างหน้าตาหล่อเอาเรื่องเหมือนกัน
แต่งตัวสะอาดสะอ้าน เสื้อเชิ้ตสีอ่อน ทับในด้วยกางเกงสแล็ค  ราคาแพง เข็มขัดหนังแท้ ยี่ห้อดัง
 ตามสไตล์แขกขาวทั่วไป ถ้าแกอายุ 20ต้นๆนี่ เต๋า สมชาย เข็มขัด ไม่ได้เกิดแน่นอนครับ
(ช่วงนั้นพี่เต๋ากำลังดัง) ความหล่อนะได้ แต่...มันติดอยู่ตรงที่ พี่แกขาไม่เท่ากันนี่สิ
สั้นข้างยาวข้าง พิการ ประมาณนั้น
 จอห์นนี่ มีเมียเป็นคนไทยอีสาน บ้านอยู่อุบลฯ มีลูกสาวน่ารักๆอายุราวๆ4ขวบ เห็นจะได้
ผมรู้จักแกเพราะ ผมกับเมียแกทำงานอยู่ที่เดียวกัน  ตกเย็นแกจะเดินขากระเพลก มารับเมียแกทุกวัน  
ดูท่าทางรักกันดี(มั้ง)
พี่นาง เมียจอห์นนี่ แกก็เป็นสาวชาวบ้านธรรมดาทั่วไป ทิ้งท้องนามาขุดทอง ที่กทม.อย่างเราๆท่านๆ
คงเหลือไว้แต่ตายายเลี้ยงหลานที่อุบลฯ ก็ลูกของจอห์นนี่ พระเอกของเรานี่ล่ะครับ
(ส่วนเขาสองคนไปพบรักกันตอนไหน ผมก็ไม่ได้ถาม)
พี่นางมักมาบ่นกับผมเสมอว่า

“พี่กับจอห์นนี่คงไปกันไม่รอดหรอกแก”

“อ่าว ทำไมล่ะพี่ ก็เห็นพี่แก เอาอกเอาใจพี่นางสารพัด” ผมแย้ง(เสือก) ด้วยความสงสัย

พี่นางแกจะมาบ่นกับผมประจำ เพราะว่าเห็นว่า ผมกับอีตาจอห์นนี่สนิทกัน
 มันชอบมานั่งคุยกับผมเพราะผมพอพูดภาษาอังกฤษพอรู้เรื่องอยู่บ้าง

“ไอคิดฮอดลูกไอ ไอรักเมียไอมากมาก”

*คือพ่อจอห์นนี่รูปหล่อนี่ มันพูดไทยไม่ค่อยได้มากเท่าไรหรอกครับ
แต่ภาษาอีสานนี่แป๊ดออกตลอด (*แป๊ด=โผล่) เอาเป็นว่าเวลาผมคุยกับพี่แก
 เราใช้ภาษาอังกฤษกัน แต่ผมจะแปลให้เป็นไทยไว้ ณ.ที่นี้ละกัน

 เอาละครับ มาฟังพี่นางแกเล่าต่อ..

“จอห์นนี่มันรับเงินคนพิการ(หรือเงินประกันอะไรสักอย่างผมจำไม่ได้)จากประเทศของมัน
โดยทางบ้านมันจะส่งมาให้ทุกเดือน เดือนล่ะ 3หมื่น แต่ตอนนี้
ทางบ้านไม่ส่งให้มันมา 6-7 เดือนแล้ว ไม่รู้มีปัญหาอะไรกัน”

พี่นางเล่าให้ผมฟัง สีหน้ากลัดกลุ้มที่สุด

“ลำพังเงินเดือนพี่ หมื่นกว่าบาท ไม่พอกินหรอกแก
เลี้ยงผัว เลี้ยงลูก พ่อแม่พี่อีก ค่าเช่าบ้านใน กทม.ก็ปาไปครึ่งของเงินเดือนแล้ว”..

“แล้วความรักล่ะพี่ ลูกสาวพี่อีก ไม่สงสารเด็กหรือครับ” ผมย้อนแย้งพี่นางกลับ

“พี่ตัดสินใจแล้วแก พี่จะหนีกลับบ้าน พี่จะไล่มันกลับอินเดีย” แววตาพี่นางดูเด็ดเดี่ยวคลอน้ำตา

“อ่าวแล้วจอห์นนี่มันจะไม่ตามไปหรือพี่ พี่ไม่สงสารมันไง” ผมถามกลับพี่นาง

 ใจก็สงสารพ่อจอห์นนี่รูปหล่ออยู่มิใช่น้อย

“มันจำทางกลับบ้านพี่ไม่ได้หรอกแก อยู่ด้วยกันแล้วพี่ลำบากคนเดียว เหนื่อย มันก็ทำงานไม่ได้ด้วย พาสปอร์ตนักท่องเที่ยว พี่จะตายเอานะสิแกเอ้ย พี่ตัดสินใจแล้ว”

เป็นบทสนทนาสุดท้ายที่ผมได้คุยกับพี่นาง ในวันนั้น

วันต่อมาผมต้องออกตลาดต่างจังหวัดประมาณ 1อาทิตย์ กลับมาก็สิ้นเดือนพอดี
ไม่เจอพี่นางแล้ว ถามฝ่ายบุคคล ทางฝ่ายแจ้งว่าพี่นางลาออกไปแล้วตั้งแต่ผมไปต่างจังหวัดได้2-3วัน
 ผมก็ไม่คิดอะไร แกคงคุยกับจอห์นนี่รู้เรื่องแล้วมั้ง ก็ทำงานต่อสิครับ รอเจ้านายมาเล่นซ่อนหาหรือไง
ตกเย็นเวลาเลิกงาน พระเอกของเราก็เดินกระเพลกๆเข้ามาหาผม
“เฮียแล้วไงกู งานเข้าสินะ” ผมสบถเบาๆ  
ผมเห็นชายหนุ่มตรงหน้า ขอบตาดำคล้ำ นัยน์ตาแดงระเรื่อ น้ำตาคลอเบ้า
 เสื้อผ้า สกปรกมอมแมม ไม่เหลือเค้าร่างของเสื้อผ้าราคาแพงเอาสะเลย
กลิ่นละมุดเตะจมูกจนหัวแทบทิ่ม

“เฮ้ ยู ยูไปรอไอหน้าออฟฟิศนะ ค่อยคุยกัน ไอขอเก็บเอกสารก่อน”  

จอห์นนี่ ไม่ไหวติง น้ำตาร่วงพรู ทะลักออกมายิ่งกว่าเขื่อนแตก
เสียงสะอื้นคงจุกอยู่ที่ลำคอ ผมได้ยินเสียง อึกๆอยู่สองสามก้อน
พี่ๆที่ออฟฟิศ เบือนหน้าหนี ต่างก็รีบเก็บข้าวของ รีบกลับบ้าน
รีบๆไปจากสถานการณ์กระอักกระอ่วน ที่กำลังเกิดขึ้น ผมเดาได้เลยว่า
พวกพี่ๆ คงเจอมาก่อนผมเป็นแน่แท้

“ยู ยูต้องช่วยไอนะ พาไอไปหาเมียหน่อย พรีส”

จอห์นนี่ เปิดฉากฟูมฟาย หลังจากที่เราหาที่นั่งคุยกันหน้าออฟฟิศ

“จอห์นนี่ ไอไม่รู้จักหรอกว่า บ้านพี่นางอยู่ไหน
 ขอประวัติฝ่ายบุคคลเขาก็ไม่ไห้ ไอไม่รู้จะช่วยยูยังไงเหมือนกัน”

จอห์นนี่ ทรุดลงไปกองอยู่บนพื้น ร้องไห้หนักมาก
ออ! สมัยนั้น โทรศัพท์มือถือ ราคาเหยียบสองหมื่นเกือบทุกรุ่น
 ไม่ต้องถามหาเบอร์มือถือกัน ไม่มีปัญญา ถูกสุด ซีเมนต์ 11900.- (มั้ง)
 ซึ่งต้องใช้เงินเดือนทั้งเดือนซื้อ สมัยนั้นค่าแรงขั้นต่ำอยู่ที่ 4790.- ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าคอมมิชชั่น
รวมๆกันแล้ว น่าจะไม่เกิน 15000.-/เดือน  ผมใช้เพจเจอร์ หรูสุดแล้วครับ
ฝากข้อความถึงสาวแต่ละที โคตรอายเลยพี่เอ้ยย บางทีโอปะเรเตอร์แมร่งมีแอบขำ(กูได้ยิน ฮึ่มมม)
กว่าจะเจียดเงินมาซื้อโทรศัพท์มือถือได้ก็ไส้แห้งกันหลายเดือนเลยทีเดียวเชียว (อะเฮื้ออ!!)
เครื่องแรกของผมน่าจะ โมโตโรล่า สตาร์แทค มือสอง 8900.- เจสสสสเขร้!! เงินเดือนทั้งเดือน

พอๆๆ ดึงกลับมาหาพี่จอห์นนี่กันต่อ
ผมใช้เวลาค่อนคืนปลอบพี่แก เลี้ยงเบียร์พี่แก จนจอห์นนี่หยุดร้องไห้
คงเหลือไว้เพียงแต่เสียงสะอื้นเบาๆเป็นบางครั้ง น้ำตาของลูกผู้ชาย อาบเปื้อนบนใบหน้าที่หมองคล้ำ
 ต่อแต่นี้ จะไม่ได้เจอทั้งหน้าลูกแก้วเมียขวัญอีกแล้ว

“ไอคิดฮอดลูกไอ ไอรักเมียไอมากมาก”
“ไอคิดฮอดลูกไอ ไอรักเมียไอมากมาก”

ประโยคนี้มันทิ่มแทงใจผมมากเหลือเกิน

“ยูต้องกลับอินเดียนะจอห์นนี่....เป็นหนทางที่ดีที่สุดแล้ว กลับไปบ้านยู”

ผมบอกจอห์นนี่แทรกเสียงสะอื้นเบาๆของพี่แก

“ไอไม่มีเงินแล้ว เจ้าของหอพัก ให้ไอออกจากหอพักของเขาอาทิตย์หน้า ไอจะไปอยู่ที่ไหน”  

จอห์นนี่เริ่มฟูมฟายอีกครั้ง
 “ไอคิดฮอดลูกไอ ไอรักเมียไอมากมาก” ไอคิดฮอดลูกไอ ไอคิดฮอดลูกไอ.,

ผมแนะนำให้พี่แก ไปติดต่อกับสถานทูต ในวันรุ่งขึ้น ยัดเงินใส่มือให้พี่แกไป 500.-
ไว้พอค่าข้าวค่ารถเดินทางไปสถานฑูต ล่ำลากับจอห์นนี่ผู้โศกเศร้า
อวยพรให้เดินทางกลับบ้านโดยปลอดภัย เริ่มต้นชีวิตใหม่ ที่บ้านเกิด
จอห์นนี่พยักหน้าหงึกหงัก ไม่รู้ว่าเมา หรือว่าพี่แกเข้าใจ ก็ไม่อาจรู้ได้
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาผมก็ไม่เห็นจอห์นนี่อีกเลย
 6เดือนหลังจากนั้น ผมมีโอกาสไปเดินห้างหรูแถวลาดพร้าว
ตากแอร์ หาซื้อหนังสือมือสองอ่านเล่นเท่านั้นครับ
 เดินลงมาดื่มกาแฟข้างสวนสมเด็จย่า ขาประจำ วันหยุดผมชอบมานั่งเล่นที่นี่
เพราะไม่ไกลจากห้องพักผมมากนักนั่งรถเมล์มาที่นี่ 20นาทีถึง (ถ้ารถไม่ติด)
นั่งจิบกาแฟ ดูผู้คนเมืองหลวง ปากกัดตีนถีบกันไป ตามเรื่องตามราวของผม
สายตาไปสะดุดอยู่ที่ ชายจรจัดรูปร่างคุ้นตา เดินกระเพลกช้าๆลัดเลาะอยู่ริมสวน
เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง สีหม่นเขรอะตา ผมเผ้าฟูดูยุ่งเหยิง เท้าเปล่า เล็บมือเล็บเท้าดำสกปรก
 อย่าให้บรรยาย (ไม่ทันล่ะ) ผู้คนแถวนั้นต่างหลีกหลบหนี ไม่อยากเข้าใกล้ ผมลุกเดินไปทันที
ถ้าจะมีใครสังเกตในสวนสมเด็จย่าวันนั้น
 จะเห็นชายหนุ่มหน้าตาดี ใส่รองเท้าผ้าใบ กางเกงสามส่วน เป้หลัง 
คล้ายๆนักท่องเที่ยว ยืนประจันหน้ากับ ชายบ้าใบ้ ขอทาน ผอม สกปรก โสโครก
 ที่ผู้คนต่างขยะแขยง ไม่อยากเข้าใกล้กัน

“จอห์นนี่ นั่นยูใช่มั๊ย” ผมเปิดฉากก่อน

ชายจรจัดตรงหน้า หยุดชะงักจ้องหน้าผม แววตาที่เลื่อนลอย
 เริ่มปริ่มน้ำตา ปากที่แห้งๆเริ่มเผยอสั่นระริก

“โท-อิ” เสียงนั้นแผ่วเบา แต่ผมก็สามารถได้ยิน

นั่นคือชื่อของผม จอห์นนี่ รับรู้ จำได้ ผมยิ้มยินดี
**ออ..เรื่องชื่อ ฝรั่งหรือคนต่างชาติจะออกเสียง”เต้ย”ยากหน่อย
เขาเลยออกเสียงว่า โท-อิ To-Ei ที่แปลว่า หัวแม่เท้า อืมม!! เอาที่สบายใจแล้วกัน

..กลับมาบีบน้ำตากันต่อครับ

“ทำไมยูไม่กลับบ้าน ทำไมยูต้องมาทำแบบนี้ ทำไมยูไม่ไปหาไอ ถ้าไม่กลับอินเดีย ทำไม ทำไม บลาๆๆ”

108 คำถามปนด่า ยิงใส่จอห์นนี่จนผมลืมหายใจ น้ำตาผมเริ่มคลอมาบ้างแล้ว
สงสารจับใจ จากคนที่ดูดีทุกอย่าง มีพร้อมทุกอย่าง โลกช่างกลั่นแกล้งทำลาย ทำร้ายเขา ได้ถึงขนาดนี้
 จอห์นนี่ยังคงยืนสงบนิ่ง น้ำตาเริ่มไหลอาบแก้ม ปากยังสั่นระริก ไม่มีเสียงตอบกลับจากปากแห้งๆของพี่แก ผมลากแกมานั่งริมรั้ว สั่งข้าวสั่งน้ำแถวนั้นมาให้แกกิน จอห์นนี่เปิดข้าว กระดกน้ำ
เหมือนไม่เคยได้กินมาก่อน อิ่ม รอยยิ่มเศร้าๆของพี่แก เริ่มมีมาบ้าง แต่จอห์นนี่ก็ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
“เอางี้ ยูรอไอที่นี่ จะกลับไปเอาเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยน ตกลงไหม? แล้วเราค่อยไปสถานทูต เดี๋ยวไอจะไปส่ง”
จอห์นนี่พยักหน้า ผมยัดเงินใส่มือพี่แก 200.- ตอนนั้นมีอยู่ 7-800 นี่ล่ะ หมดไปกับหนังสือหลายเล่มเหมือนกัน
ผมใช้เวลาไป-กลับห้องพัก เกือบชั่วโมงเห็นจะได้ กลับมาก็ไม่เจอจอห์นนี่แล้ว ผมทั้งหงุดหงิดทั้งอยากร้องไห้ ถามผู้คนแถวนั้น ก็ไม่รู้ไม่เห็น ไม่มีใครสนใจ ผมเดินหาอยู่เป็นชั่วโมง
เลยกลับบ้านทิ้งเสื้อผ้าไว้ที่ศาลา เผื่อว่าจอห์นนี่จะกลับมาอีกครั้ง
ผมไม่รู้ว่าพี่แกไปไหน นั่งรถเมล์ผ่านแถวนั้น จะลงไปเดินดูในสวนทุกครั้ง
แต่กลับไม่มีวี่แววของจอห์นนี่เลย
ไม่กี่เดือนหลังจากนั้น สวนสมเด็จย่าก็ถูกปรับปรุงใหม่ ผมแวะไปถามร้านกาแฟเจ้าประจำ
แกบอกว่า เห็นจอห์นนี่บ้าง บางวัน เทศกิจมาไล่บ้าง ยามของทางห้างมาไล่บ้าง จนหลังๆ ไม่เห็นอีกเลย
“โชคดีนะจอห์นนี่ ผู้ผิดหวังแห่งรัก ขอให้รักคุ้มครอง”
ถ้าใครบังเอิญผ่านแถวนั้น เห็นชายจรจัดเดินขากระเพลกๆ หยิบยื่นน้ำใจของคุณให้เขาบ้าง 
จักเป็นพระคุณอย่างสูง
                                                                                                                 
                                                                                             
                                                                                                                .......โท-อิ........


ภาพประกอบจาก internet


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

จัน.. เอาน้ำแข็งมาถูหลังฉันหน่อยสิ ??!!

หมวย